วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เปิดประวัติ บัวขาว ป.ประมุข นักชกไทยชื่อก้องโลก

เปิดประวัติ บัวขาว ป.ประมุข นักชกไทยชื่อก้องโลก

บัวขาว ป.ประมุข
บัวขาว ป.ประมุข


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก buakawfans.com

          กลับมาผงาดอีกครั้งในศึก K-1 World Max 2009 พร้อมกับความคาดหวังที่จะซิวแชมป์สมัยที่ 3 เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้เวลานี้ชื่อของ "บัวขาว ป.ประมุข"  นักชกไทยเจ้าสังเวียนมวย K-1 ถูกพูดถึงกันอีกครั้ง โดยเฉพาะแฟนมวยชาวยุโรปและญี่ปุ่น นักชกไทยรายนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างดี และถือเป็นยอดมวยในดวงใจ ขนาดที่มีแฟนคลับคอยตามกรี๊ด และให้กำลังใจติดขอบเวทีทุกครั้งที่ขึ้นชก...แต่สำหรับคนไทย "บัวขาว" อาจยังเป็นที่รู้จักในวงจำกัด ว่าแล้วกระปุกดอทคอมก็ไม่พลาดขอพาไปทำความรู้จักเขากันค่ะ

          บัวขาว ป. ประมุข หรือชื่อจริง คือ "สมบัติ บัญชาเมฆ" เป็นนักมวยไทยวัย 27 ปี ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการมวยในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสังเวียนมวย K-1 ที่เขาเคยเป็นแชมป์ในปี พ.ศ.2547  และ พ.ศ.2549 อย่างไรก็ตาม บัวขาวเกือบจะได้แชมป์ K-1 ถึง 3 สมัยติดกันมาแล้ว แต่มาสะดุดในปี พ.ศ.2548 บัวขาวแพ้คะแนน แอนดี้ ซอเยอร์ ในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่ากังขา

บัวขาว ป.ประมุข


          ทั้งนี้ มวย K-1 คือ มวยไทยที่ญี่ปุ่นนำไปเผยแพร่ เมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยอาจารย์คาซูโยชิ อิชี่ (Kazuyoshi Ishii) เจ้าสำนักเซโดไคคังคาราเต้ ในประเทศญี่ปุ่น โดยประยุกต์เอาศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ มาต่อสู้กัน และใช้กติกาเดียวกันกับมวยไทย คือ ห้ามใช้ศอกและโน้มคอตีเข่า ซึ่งมวย K-1 ได้ออกอากาศแพร่ภาพทางโทรทัศน์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539

          "มันก็คือมวยไทยนี่แหละ แต่พอดีญี่ปุ่นเขาหยิบสิทธิ์ไปใช้ ครั้งแรกที่ผมเข้าไปเขาห้ามแค่ศอกอย่างเดียว นอกนั้นยังใช้ได้หมด ที่ห้ามใช้ศอกเพราะมันเป็นวุธที่รุนแรงมาก เกิดพลาดไปมันอาจทำให้เสียโฉมได้ เพราะเขาต้องเซฟหน้าตานักมวยด้วย นักมวยมันต้องหล่อ ต้องดึงดูดใจแฟนมวยสาวๆ" บัวขาว กล่าว
บัวขาว ป.ประมุข


          สำหรับบันไดสู่เวทีมวยระดับโลกของบัวขาว เริ่มต้นเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ที่บ้านเกิดจังหวัดสุรินทร์ บัวขาวฝึกมวยตั้งแต่ยังเด็กจนอายุ15 ปี ก็ตบเท้าเริ่มอาชีพมวยไทยกับสังกัด "ป.ประมุข" ของกำนันเก๊-ประมุข โรจนตัณฑ์ และเขาก็ไม่ทำให้เจ้าของค่ายมวยผิดหวัง สามารถคว้าเข็มขัดแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอเวท, แชมป์ประเทศไทย ในรุ่นเฟเธอเวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท นอกจากนั้น ยังเป็นแชมป์ประเทศไทย และแชมป์รายการอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

          จากนั้นบัวขาวก็ได้มีโอกาสออกตระเวนทำศึกนอกสังเวียนไทย ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังอย่างมากในต่างประเทศ จึงไม่แปลกอะไร ที่ ณ เวลานี้บัวขาวถูกจัดเป็นหนึ่งในนักกีฬาอาชีพไทยที่ทำรายได้สูงสุดคนหนึ่ง โดยมีรายได้ต่อปีเป็นตัวเลข 8 หลัก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการชกมวยที่ต่างประเทศ และปัจจุบันเขามีสถิติการชกทั้งหมด 407 ครั้ง ชนะ 357 ครั้ง แพ้ 45 และเสมอ 5 ครั้ง.... อิอิ สงสัยเพราะเก่งอย่างนี้นี่เอง จึงทำให้มีแฟนคลับสาวชาวแดนปลาดิบเพียบบบ...


บัวขาว ป.ประมุข


          "เวลาอยู่ญี่ปุ่นผมแปลงโฉมตลอดเลยนะ คือ อากาศที่โน่นมันหนาวก็เลยต้องใส่ชุดหนาๆ ผมนี่ใส่ฮิพฮอพคลุมหน้าเลย แต่ถึงขนาดนั้นบางคนยังจำได้อีก เขาจะเริ่มมองแล้วค่อยๆ กรูเข้ามาหา บางรายคลั่งไคล้ถึงขนาดจัดทัวร์มานั่งดูการซ้อม มาเยี่ยมค่าย ดูความเป็นอยู่ของเรา พอซ้อมเสร็จผมก็มานั่งคุยกับเขา แล้วทีนี้เหงื่อมันออกมาก เขาก็จะเอาผ้ามาเช็ดแล้วก็เก็บเหงื่อปาดใส่กระป๋องน้ำไว้" บัวขาว เล่าถึงแฟนคลับของเขา

          และในปีนี้ พ.ศ.2552 บัวขาวก็จะกลับมาถามหาบัลลังก์แชมป์มวย K-1 อีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เขาก็ผ่านด่านการดวลหมัดรอบ 8 คนสุดท้ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หลังจากสามารถเอาชนะ นิคกี โฮลส์เกน คู่ปรับเก่าจากฮอลแลนด์ ไป 30 - 28 คะแนน ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับ แอนดี ซาวเออร์ แชมป์ 2 สมัย ชาวฮอลแลนด์ โดยมีคิวฟาดหมัดกันในวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น และหากชัยชนะอยู่ในมือของบัวขาว เขาก็จะต้องทำศึกรอบชิงชนะเลิศในวันเดียวกัน

          และแน่นอนว่าในรอบชิงชนะเลิศที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ว่าศักดิ์ศรีแชมป์ 2 สมัยระหว่างนักชกไทยกับนักชกฮอลแลนด์ ใครจะแน่กว่ากัน เพราะทั้งคู่ต่างก็ต้องการชนะเพื่อจะได้เข้าไปชิงแชมป์สมัยที่ 3 ซึ่งถือเป็นแชมป์ประวัติศาสตร์ ... 

          เอ้า! รู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องชาวไทยก็อย่าลืมส่งกำลังไปเชียร์บัวขาวกันนะคะ


บัวขาว ป.ประมุข


ประวัติส่วนตัว ของ บัวขาว ป.ประมุข นักมวยรุ่น เฟเธอร์เวท และไลท์เวท


          ชื่อจริง : สมบัติ บัญชาเมฆ 
          วันเกิด : 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 (อายุ 27 ปี) 
          สถานที่เกิด : จังหวัดสุรินทร์ 
          ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร 
          น้ำหนัก : 70 กิโลกรัม
          สถิติการชก : 407 ครั้ง ชนะ 357 ครั้ง แพ้ 45 ครั้ง เสมอ 5 ครั้ง

ผลงานเกียรติประวัติ

          - อดีตแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่น 126 ปอนด์
          - อดีตแชมป์ประเทศไทย มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์
          - อดีตแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นไลท์เวท
          -แชมป์มวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ในปีพ.ศ. 2545
          - แชมป์ K-1 WORLD MAX 2004 ในปีพ.ศ. 2547
          - รองแชมป์ K-1 WORLD MAX 2005 ในปีพ.ศ. 2548
          - S1 Superwelterweight World Champion
          - WMC Midlleweight World Champion
          - แชมป์ K-1 WORLD MAX 2006 ในปีพ.ศ. 2549

บัวขาว ป.ประมุข

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นายแพทย์ประจักษ์ อรุณทอง จากโฆษณาชุดการให้ มีตัวตนจริงหรือแค่ตัวละคร

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ TrueMoveH สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            นายแพทย์ประจักษ์ อรุณทอง จากโฆษณาชุดการให้ของค่ายมือถือดังที่สร้างความซาบซึ้งให้คนทั้งโลก มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือจะเป็นคนเดียวกันกับ นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร ที่ปรากฏเรื่องราวคล้ายกันในฟอร์เวิร์ดเมล
 
            ใครที่ได้ชมคลิปโฆษณาชุด "การให้ คือการสื่อสารที่ดีที่สุด"  ของทรูมูฟ เอช ค่ายโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย คงได้เสียน้ำตาให้กับเรื่องราวอันแสนซาบซึ้งของโฆษณาชุดนี้ และ ณ ตอนนี้ โฆษณาชุดดังกล่าวก็ได้สร้างความซาบซึ้งตราตรึงให้คนทั่วทั้งโลกไปแล้ว ด้วยการถ่ายทอดเรื่องง่าย ๆ แต่กินใจ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ชมได้แง่คิดดี ๆ แล้ว ก็ยังทำให้หลายคนนึกสงสัยอยู่ในใจเหมือนกันว่าบุคคลที่ปรากฏในโฆษณาชุดนี้มีตัวตนจริงหรือไม่? แล้วเหตุการณ์ในโฆษณาเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องแต่งจากจินตนาการกันแน่

            สำหรับข้อสงสัยนี้ ในโลกออนไลน์ก็มีผู้มาตั้งกระทู้วิเคราะห์กันเช่นกัน และสรุปได้ว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงเรื่องสมมติที่แต่งขึ้นมา โดยหยิบเค้าโครงเรื่องมาจากฟอร์เวิร์ดฉบับหนึ่งที่มีการส่งต่อกันเมื่อหลายปีก่อน เป็นเรื่องราวของการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน แต่ได้รับบางสิ่งตอบแทนราวปาฏิหาริย์ ซึ่งมีเรื่องราวไม่ต่างจากโฆษณาเลย...

            โดยในฟอร์เวิร์ดเมลฉบับนั้นเล่าว่า ตัวละครที่ชื่อ "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" ในวัยเด็กได้เคยพยายามขโมยยาไปรักษาแม่จนถูกเจ้าของร้านดุ แต่ "นางสมพร ภู่จันทร์" ที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกสงสารเด็กน้อยคนนั้น จึงมาช่วยจ่ายเงินให้ พร้อมกับยื่นส้มให้เด็กนำกลับไปทาน จากนั้นเวลาผ่านมาอีก 20 ปี นางสมพรเกิดล้มป่วยด้วยอาการเนื้องอกในสมอง ต้องใช้เงินผ่าตัดถึง 5 แสนบาท ทำให้ทางครอบครัวกลุ้มใจมาก เพราะไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปรักษา แต่ทว่าสุดท้ายแล้วทางโรงพยาบาลกลับไม่คิดเงินค่ารักษาเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะคุณหมอผู้ผ่าตัดที่ชื่อ "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" ขอตอบแทนบุญคุณที่นางสมพรเคยช่วยเหลือไว้สมัยเด็ก พร้อมกับระบุว่า "ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง"...

            ทั้งนี้ ในคลิปโฆษณาของค่ายมือถือดังไม่ได้ระบุชื่อ "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" ไว้ในโฆษณา แต่เปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่เป็น "นายแพทย์ประจักษ์ อรุณทอง" อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นข้อมูลทั้งในฐานข้อมูลแพทยสภาและในอินเทอร์เน็ต ก็ไม่ปรากฏชื่อนายแพทย์ทั้งสองคนนี้ จึงสันนิษฐานได้ว่า นายแพทย์ทั้งสองคนนี้คงไม่มีตัวตนจริง เป็นเพียงชื่อที่ตั้งขึ้นมาใช้เล่าเรื่องประกอบฟอร์เวิร์ดเมล และโฆษณาเท่านั้น ส่วนเนื้อหาในฟอร์เวิร์ดเมลก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อาจจะเพียงเรื่องแต่ง หรือมาจากเค้าโครงเรื่องจริงบางส่วนแต่มีการแต่งเรื่องเพิ่มตามจินตนาการก็เป็นได้

            ขณะเดียวกัน ก็มีชาวเน็ตส่วนหนึ่งระบุว่า จริง ๆ แล้วเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากฟอร์เวิร์ดเมลของต่างประเทศเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว โดยมีเรื่องเล่าว่าเด็กน้อยคนหนึ่งขโมยขนมปังแล้วได้คุณป้ามาช่วยเหลือ จากนั้นอีกหลายสิบปีให้หลัง เด็กน้อยคนนั้นได้กลายมาเป็นหมอรักษาโรคให้คุณป้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเรื่องเล่าลักษณะนี้ก็ถูกส่งต่อกันมาเรื่อย ๆ นานนับสิบปี เพียงแต่มีการดัดแปลงตัวละครเป็นหลายเวอร์ชั่น แต่เค้าโครงหลักก็ยังเป็นดังที่ปรากฏในโฆษณานั่นเอง

            อีกด้านหนึ่งในเว็บไซต์พันทิปดอทคอมก็มี คุณ Mangashorn ให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้น่าจะหยิบเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของ ดร.โฮเวิร์ด เคลลี (Dr. Howard Kelly) แพทย์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2401-2486 

            โดยคุณหมอโฮเวิร์ดในวัยเด็กได้เคยไปเคาะประตูบ้านผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อขอนม 1 แก้วดื่มประทังความหิว และผู้หญิงคนนั้นก็ใจดีให้นมมาดื่มโดยไม่คิดเงินเลย ภายหลัง เด็กชายคนนั้นได้เรียนจบจนเป็นหมอ เมื่อเขาเห็นชื่อผู้หญิงใจดีคนนี้มารักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปช่วยรักษาผู้หญิงคนนั้นจนหายจากโรคร้ายโดยไม่คิดเงินแม้แต่สตางค์เดียวเช่นกัน ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า เป็นเพราะเธอจ่ายค่ารักษาให้เขามาแล้วด้วยนม 1 แก้วนั้นนั่นเอง...

นั่งเมียโง่

นังเมียโง่


'นังเมียโง่'

ตอนจีบกันทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมากนี่นา
เรียนก็สูง หน้าที่การงานก็ดี ทำไมอยู่กันไป
อยู่กันมากลับเป็นว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้

นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัวฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆ นะเนี่ยไม่ได้คุย
ตอนเด็กๆสมัยประถมผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอๆ
จะได้รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียนไทย
ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้

แม้เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผมรู้จากนังเมียผม
เพราะผมสังเกตุเห็นนังเมียมันจะ ตบมือดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชม ไม่ขาดปาก
ว่าเก่งยังโน้นเก่งยังนี้

เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม อย่างยอดเยี่ยม

และเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผมมันกำหนดไว้
แถมบางครั้งยังมีเวลาเหลือพอที่จะไปล้างส้วมได้เสร็จทันเวลาอีกด้วย

ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาดมาก
ความจริงนังเมียมันไม่บอก ผมก็รู้อยู่แล้ว
ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง ขนาดแอร์ ทีวี ที่สมัยนี้เปิดปิดง่ายๆ .. มันยังทำไม่เป็น
รีโมท ตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่เป็น มือซ้ายถือมันฝรั่ง มือขวาแก้วน้ำหวาน

ปากก็บอกว่า 'นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ แอร์ด้วยนะ ซัก 23 องศา'

อีห่า .. รีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่เป็น มันนี่โง่จริงๆ
ผมเคยสอนให้ใช้หลายครั้ง ก็ยังทำไม่เป็นอีก

แต่นังเมียผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างนะ
หยั่งเช่นว่าวันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมดแถมยังจำแม่น
บางเดือนเลื่อนออกเงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้หมดแนะ
ผมยังแปลกใจ โง่ๆ แบบนี้รู้ได้ไง
แต่ยังไงนังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผมหรอก 

มานั่งคอยจำ คอยเตือนเงินเดือนทุกเดือนเสียเวลา

ผมเลยเอาเลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย
นังเมียยังชมผมไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก
โธ่เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้ 'นังเมียหัวขี้เลื่อย'

วันก่อนผมก็มีวีรกรรมได้แกล้ง นังเมียโง่ของผม สะจายจิงๆ

เรื่องมันมีอยู่ว่า
อาทิตย์ที่แล้วพาเมียโง่ ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ ได้ปลาดุกย่าง
สะเดาน้ำปลาหวาน (ของโปรดผมคือหนังปลาดุก)
เผลอแป๊บเดียว (ผมอาบน้ำอยู่)
นังเมียโง่ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง ดูสิดูมันทำ
ด้วยความฉลาดของผม เก็บความแค้นอยู่ในใจ
วันต่อมาถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผม ไปจ่ายตลาด 

มันกำลังท้อง อยากกินมันเทศต้ม เลยซื้อมา2กิโล
ถึงบ้านพอมันเผลอ ผมลงมือแก้แค้นทันทีโดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว
ผมจัดการลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยง เหลือแต่เนื้อให้มัน

เพื่อนๆครับ มันมาเจอถึงกลับตะลึง ทำท่าน้ำตาคลอ
คงเจ็บใจผมจนพูดไม่ออกเลย

555ให้มันรู้ซะบ้าง 
'นังเมียโง่!!!
อิอิอิอิ หลังๆภูมิใจในตัวเองมากที่ฉลาด
กว่าเมียตั้งเยอะ
เมื่อคืนเมียโง่ปิดแอร์เองก็ไม่ได้ เอาน้ำขึ้นมาบนห้องก้ไม่ได้ เอาถังขยะไปทิ้งก้ไม่ได้
เมียมันโง่จิงๆๆฉลาดจังเราภูมิใจ